เปิด 6 เรื่องราว“ โรงละครแห่งความฝัน ” ที่มีมนต์เสน่ห์พร้อมความเป็นมา ของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดทีมชั้นนำศึก พรีเมียร์ลีก

1.ก่อกำเนิด โรงละครแห่งความฝัน
สโมสร แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ถูกขนามนามจาก เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน (Sir Bobby Charlton ) ว่าคือ ” โรงละครแห่งความฝัน ” สโมสรแห่งนี้ ถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1870 เมื่อเหล่าพนักงานการรถไฟกลุ่มหนึ่งได้ก่อตั้งทีมฟุตบอลของตนขึ้นมา ซึ่งพวกเขาได้ใช้ชื่อเรียกว่า “เดอะ แลงคาเชียร์ แอนด์ ยอร์คเชียร์ เรียลเวย์ ฟุตบอล คลับ” และใช้สนาม แบงก์สตรีต (Bank Street) หรือบางทีรู้จักในชื่อ แบงก์เลน (: Bank Lane) เป็นสนามเหย้าของทีม และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “นิวตัน ฮีธ” ในปี 1878


สโมสร นิวตัน ฮีธ ในขณะนั้น พวกเขามีความพยายามสร้างทีมเพื่อเข้าร่วมเล่นฟุตบอลลีกถึงสองครั้ง แต่ต้องล่มไม่เป็นท่า เพราะไม่มีผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการในเวลานั้น ด้วยความพยายยามอย่างไม่ย่อท้อในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการเข้าร่วมลีกอาชีพอย่างเป็นทางการเมื่อฟุตบอลลีกมีการแบ่งออกเป็นสองดิวิชั่นหลังจากนั้นในเวลาต่อมาไม่นาน


แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ภายใต้ ชื่อเดิม นิวตัน ฮีธ ประเดิมเกมลีกนัดแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขาด้วยการพ่ายแพ้ต่อ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-4 ซึ่งในฤดูกาลนั้น สโมสรทำผลงานค่อนข้างน่าผิดหวังอย่างมาก ด้วยผลงานคว้าชัยชนะได้เพียงแค่ 6 จาก 30 เกมเท่านั้น ทำให้พวกเขาตกไปอยู่ในอับดับบ๊วยของตาราง ทว่าพวกเขายังเอาตัวรอดจากการตกชั้นได้สำเร็จ หลังจากเอาชนะ สมอลล์ ฮีธ ไปได้ 5-2 ที่สนาม บรามอลล์เลน

อย่างไรก็ตาม ปีต่อมาสภาพทีมยังคงมีฟอร์มที่กระท่อนกระแท่นเช่นเคย และต้องตกชั้นไปในที่สุด และหลังจากนั้นมีการยุบลีกลง ก่อนจะก่อตั้งลีกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

เมื่อปี 1902 ทีมยังประสบปัญหาในการเข้าร่วมลีกอีกเช่นเคย เนื่องจากสภาวะทางการเงินโดยสโทสรเป็นหนี้จำนวนสูงถึง 2,670 ปอนด์ (ในยุคนั้นเทียบเท่ากับ 260,000 ปอนด์ในปัจจุบัน) ส่งผลให้ทีมของพวกเขาสุ่มเสี่ยงต่อการล้มละลาย ทว่าโชคยังดี ที่มีผู้อำนวยการโรงกลั่นเบียร์ท้องถิ่นที่ชื่อ “จอห์น เดวี่ส์” (John Henry Davies) นำเงินเข้ามาลงทุนกับสโมสร ซึ่งแต่งตั้งตนเองเป็นผู้อำนวยการสโมสร พร้อมดำรงค์ตำแหน่งประธานสโมสรในท้ายที่สุด จากนั้น เดวี่ส์ จัดการเปลี่ยนชื่อทีมจากเดิม นิวตัน ฮีธ มาเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สล็อต และตัดสินใจย้ายสนามเหย้าเดิม สนาม แบงก์สตรีต (Bank Street) ไปยัง โอลด์แทรฟฟอร์ด (สนามที่ถูกขนานนามว่า โรงละครแห่งความฝัน)ในย่านนิคมอุตสาหกรรมแทรฟฟอร์ดซึ่งมีอาณาเขตกว้างขวางกว่าที่เดิม เพราะ สนาม แบงก์สตรีต ไม่สามารถขยายพื้นที่ออกไปได้อีก ซึ่งเกมสุดท้ายในการใช้สนามแห่งนี้คือเกมที่ยูไนเต็ดเอาชนะ ทอตแนมฮอทสเปอร์ส ไปได้ 5–0 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1910


2.แชมป์แรกในประวัติศาสตร์สโมสร
หลังการเข้ามาของผู้บริหารทีมชุดใหม่ในปีก่อน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้แต่งตั้ง “เออร์เนสต์ แมกนัลล์” (Ernest Mangnall) เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของทีมในปี 1903 โดย แมกนัลล์ พาทีมไต่อันดับมาจากดิวิชั่น 2 ขึ้นมดิวิชั่น 1 ได้ และ 4 ต่อมาด้วยสไตล์การเล่นที่รวดเร็ว และ เกมอันสวยงาม ส่งผลให้ฤดูกาล 1907-08 “ปีศาจแดง” สามารถคว้าแชมป์ลีก มายังถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร และในปีถัดมาพวกเขายังคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ไปครองได้อีกด้วย


3.เช่าสนามคู่ปรับร่วมเมือง และ ยคุแห่งผู้สร้างตำนาน “เร้ด เดวิลส์”
แมนฯ ยูไนเต็ด ย่างก้าวเข้าสู่ยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ปี 1945 เมื่อสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เกิดใช้การไม่ได้เนื่องจากถูกลูกระเบิดและได้รับความเสียหายจากช่วงสงครามเมื่อปี 1941 ทำให้ยูไนเต็ดตัดสินใจเซ็นสัญญาเช่าสนาม เมน โร้ด (Maine Road) ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมคู่ปรับร่วมเมือง เพื่อใช้เป็นสนามเหย้า นานถึง 8 ปี



ซึ่งในปี 1945 ยูไนเต็ด ได้แต่งตั้ง เซอร์ แมตต์ บัสบี (Sir Alexander Matthew “Matt” Busby) เป็นผู้จัดการทีม และชายผู้นี้คือผู้สร้าง “เร้ด เดวิลส์” ให้กลับขึ้นมาผงาดอีกครั้ง ด้วยการพา แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ 13 รายการอย่างยิ่งใหญ่
ฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 อังกฤษ 5 สมัย ฤดูกาล 1951-52 , 1955-56 , 1956–57 , 1964–65, 1966-67
แชมป์เอฟเอคัพ 2 สมัย 1947–48 , 1962–63
แชมป์เอฟเอคอมมูนิตีชิลด์ 5 สมัยฤดูกาล 1952 , 1956 , 1957 , 1965 , 1967
แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1 สมัย 1967–68 มาครองได้สำเร็จ
สูตรบาคาร่า | SA GAMING | บาคาร่าsa

ต่อมาในฤดูกาล 1955-56 นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีการก่อตั้งรายการฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปขึ้นโดยได้รับการรับรองจากยูฟ่า และ ในฤดูกาลนั้นเอง ยูไนเต็ด ก้าวเข้าสู่ความรุ่งเรื่องในเวทียุโรปเป็นครั้งแรงเมื่อ บัสบี้ พาทีมผ่านเข้าไปเล่น ศึกฟุตบอล “ยูโรเปี้ยน คัพ” จนไปสามารถผ่านทะลุถึงรอบรองชนะเลิศ แม้ยูไนเต็ดจะตกรอบดังกล่าวไปในที่สุด ทว่ายังดีที่พวกเขาคว้าแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งได้อีกสมัย และ กลับมาลุยถ้วยยุโรปใหม่ในปีหน้าได้สำเร็จ
4.โศกนาฏกรรมแห่งมิวนิค คราบน้ำตาและความสูญเสีย
บ่ายวันพฤหัสดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อเครื่องบินโดยสารของทีมงาน และ นักเตะสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบอุบัติเหตุ เครื่องบินตกขณะกำลังนำเครื่องขึ้น ที่กรุงมิวนิค ประเทศเยอรมนี ส่งผลให้ผู้เล่น และ เจ้าหน้าที่ของทีมเสียชีวิตทันที 23 ราย และเหตุการณ์ในครั้งนั้นนับว่าเป็นโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจที่สุดในวงการกีฬาทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม โศกนาฏกรรมในครั้งนี้ แม็ตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีมผู้สร้าง และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (Sir Bobby Charlton) ดาวรุ่งวัย 20 ปี ในขณะนั้นได้รอดตายจากเหตุการณ์นี้ด้วย ส่วน ยอดปราการหลังอย่าง ดันแคน เอ็ด เวิร์ดส (Duncan Edwards) ต้องเสียชีวิตลงในโศกนาฏกรรมนี้ในวัยเพียง 21 ปี



ซึ่งหนังสือพิมพ์ในอังกฤษเผยแพร่ข่าวที่ทำให้ตกตะลึงกันไปทั้งประเทศ
“เครื่องบินโดยสารของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตกที่สนามบิน น่ากลัวว่าจะมีการสูญเสียอย่างหนัก ยังไม่มีรายงานถึงรายชื่อผู้เสียชีวิตหรือรอดชีวิต”

5. สู่แชมป์ ยูโรเปี้ยน และฟุตบอลสมัยใหม่ของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน Alex Ferguson

สามปีให้หลังจากศกนาฏกรรม กาลเวลาเดินทางสู่ฝันที่เป็นจริงของ แม็ตต์ บัสบี้ เมื่อเขาพาลูกทีม คว้าแชมป์ถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรปไปครองได้สมัยแรกอย่างงดงาม ด้วยผลงานถล่ม เบนฟิก้า ยอดทีมชั้นนำของลีกฝอยทอง (ซูเปอร์ลีกา โปรตุเกส) ซึ่งนำทัพโดย ยูเซบิโอ (Eusebio) นักเตะชื่อดังของโลกในขณะนั้น ไปได้ที่สนาม เวมบลีย์ ด้วยสกอร์ 4-1 ก่อนที่ บัสบี้ จะอำลาตำแหน่งผู้จัดการในเวลาต่อมา

การมาถึงของกุนซือระดับพระกาฬ!! อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Sir Alex Ferguson) ก้าวเข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อจาก รอน แอตกินสัน (Ron Atkinson) หละงถูกตะเพิด ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1986 เฟอร์กูสัน สร้างความยิ่งใหญ่จนถึงขีดสุดให้ “ปีศาจแดง” ด้วยการเป็นกุนซือที่พาทีมคว้าแชมป์มากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร จากผลงาน คว้าแชมป์รายการต่างๆ 38 รายการตลอด 27 ปี การคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของเขา นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1968-2013

นอกจากนี้ในปี 1999 เฟอร์กูสัน ยังสร้างฤดูกาลแห่งทริปเปิลให้ “ปีศาจแดง” ด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก , พรีเมียร์ลีก , เอฟเอคัพ จนกลายเป็นที่กล่าวขานมาถึงทุกวันนี้

แชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย ฤดูกาล 1992–93, 1993–94, 1995–96, 1996–97, 1998–99, 1999–2000, 2000–01, 2002–03, 2006–07, 2007–08, 2008–09, 2010–11, 2012–13
แชมป์เอฟเอคัพ 5 สมัย 1989–90, 1993–94, 1995–96, 1998–99, 2003–04
แชมป์ลีกคัพ 4 สมัย 1991–92, 2005–06, 2008–09, 2009–10
แชมป์เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ 10 สมัย 1990, 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, 2010, 2011
แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัย 1998–99, 2007–08
แชมป์ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย 1990–91
แชมป์ฟ่าซูเปอร์คัพ 1 สมัย 1991
แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ 1 สมัย 1999
แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 1 สมัย 2008

จากความสำเร็จมากมายของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำให้ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง แห่งสหราชอาณาจักร ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวินแห่งอังกฤษ (เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน) ซึ่งป็นชาวสกอตเพียงไม่กี่คนที่ได้รับเกียรติอันสูงนี้ และในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) เซอร์อเล็กซ์ประกาศยุติการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมลง หลังจบฤดูกาล 2012-13

ตลอดช่วงเวลา 26 ปีที่ผ่านมา เฟอร์กี้ คือกุนซือผู้สร้าง ที่มาพร้อมสีสันให้วงการลูกหนังอังกฤษอย่างมากมาย ด้วยวิถีฟุตบอลสมัยใหม่ สไตล์การทำงานที่เนี๊ยบ วาทะอันดุเดือด การทะเลาะกับ เดวิด เบคแคม การขว้างสตั๊ดถูกหางคิ้วลูกทีม การแบนไม่ให้สัมภาษณ์สื่อ ซึ่งจากนี้ไป เฟอร์กูสัน จะเป็นตำนานโค้ชผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดช่วงหนึ่งของสโมสรตลอดไป
6. ตำนานผู้เป็นที่รักของพวกเรา เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน Bobby Charlton

ไม่มีใครไม่รู้จัก ศูนย์หน้าระดับตำนาน ของทัพปีศาจแดง ที่ชื่อว่า บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (Sir Bobby Charlton) เมื่อปี 1953 เขาเริ่มต้นชีวติการค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขณะนั้นเขามีอายุเพียง 17 ปี ตลอดชีวิตการค้าแข้งของ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ลงเล่นไปทั้งหมด 758 เกม ยิงให้สโมสรไป 249 ประตู ก่อนจะฝากผลงานมากมาย และ อำลาทีมไปในปี 1973
ผลงานของ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน 3 สมัย ฤดูกาล 1956–57, 1964–65, 1966–67
เอฟเอคัพ 1สมัย ฤดูกาล 1962–63
เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 4 สมัย ฤดูกาล 1956, 1957, 1965, 1967
ยูโรเปี้ยนคัพ 1 สมัย ฤดูกาล 1967–68
ทีมชาติอังกฤษ
ฟุตบอลโลก 1 สมัย ฤดูกาล 1966
บริติชโฮมแชมเปียนชิป 10 สมัย ฤดูกาล 1958, 1959, 1960, 1961, 1964, 1965, 1966, 1968, 1969, 1970
อันดับสาม ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1968 เหรียญทองแดง

